Who am I ?
แปลว่า ฉันเป็นใคร ?
I am who
แปลว่า ฉันผู้ซึ่ง “………”
ฉัน...ผู้ซึ่งใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้มา 20 ปี 1เดือน กับอีก 5 วัน(นะเวลาที่เขียนคับ)
ฉัน...ผู้ซึ่งมีชีวิตอยู่ด้วยเสียงเพลง
ฉัน...ผู้ซึ่ง เลือกทางเดินชีวิตสายสื่อมวลชน
ต้นกำเหนิดของเรื่องราว
ชื่อของผมคือ ปราชญ์ นายศรีปราชญ์ ฉลาดดี บ้านเกิดอยู่ที่ อุทัยธานี พ่อเป็นคนนครศรีธรรมราช แม่เป็นคน อุทัยธานี ผมมีพี่น้องในครอบครัว 2 คนผมเป็นคนที่สอง ผมเติบโตขึ้นท่ามกลางความอบอุ่นของตาและยายที่มีให้ ในบ้านหลังเล็กๆที่ล้อมไปด้วยต้นไม้และทุ่งนา พ่อทิ้งพวกเราไปตั้งแต่ยังเล็กๆ ส่วนแม่ผมย้ายมาตั้งหลักปักฐานที่จังหวัดปทุมธานีตอนผมขึ้นป.6 พอดี ผมจึงอยู่กับตาและยายและก็พี่สาวมาตลอด ความจริงแม่ผมก็อยากให้ผมไปอยู่กับเขานะ แต่ที่ผมไม่ไปเพราะผมรู้สึกผูกพันธ์กับทุกสิ่งของที่นี่มากกว่าที่จะไปเริ่มต้นใช้ชีวิตที่เราไม่คุ้นเคยในเมืองที่เจริญ
“บางทีเราก็ไม่รู้หรอกนะว่าเรานั้นชอบอะไร แต่สำหรับผมถ้าผมใช้เวลาอยู่กับอะไรได้นานที่สุดนั่นแหละคือสิ่งที่ผมชอบ”...........
ผมเข้าเรียนมัธยมที่โรงเรียนประจำอำเภอ ซึ่งเป็นที่ๆผมใช้ชีวิตอยู่พร้อมกับคำถามที่ถามตัวเองว่า อนาคตผมจะเป็นอะไร ผมใช้เวลาคลุกคลีอยู่ที่นี่ 6 ปี นอกจากใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเรียนหนังสือแล้ว เวลาที่ว่างก็จะหาอะไรทำ อะไรที่ทำแล้วรู้สึกเป็นตัวของตัวเอง
ผมทำกิจกรรมหลายอย่างไม่ว่าจะเตะตะกร้อ เล่นวอลเลย์บอล แต่งกลอน วาดภาพและอีกมากมาย แต่ว่าไม่ว่าอะไรก็จะใช้เวลาอยู่กับมันได้ไม่นานซักเท่าไร จนผมเริ่มสงสัยตัวเองว่า “นี่เราชอบอะไรวะ”ทำอะไรก็ทำแค่ตามกระแส ไม่คิดจะชอบเป็นจริงเป็นจังสักอย่าง จนวันนึงผมได้เปิดประตูเข้าไปในห้องๆนั้นและเจอกับสิ่งต่างๆนาๆที่เราไม่เคยสนใจ “เฮ้ยไอ้เครื่องนี้มันมีไว้ทำอะไรเนี่ยะ” ผมถามเพื่อนผม “เค้าเรียกว่ากีตาร์ มันเอาไว้ดีดๆๆๆเด๋วมันก็เป็นเพลง” จากตรงนั้นมันทำให้ผมเริ่มเดินทางเข้าสู่เส้นทางสายแรกที่ใช้เวลาเดินทางบนถนนเส้นนี้นานที่สุด “เส้นทางสายดนตรี”
“บางทีสิ่งที่เรารักที่สุดมันอาจจะไม่ได้มีเพียงอย่างเดียว”
ผมใช้เวลาในการเล่นดนตรีมา 7 ปีแล้วเริ่มตั้งแต่หัดเล่นทุกอย่างที่เป็นดนตรี จนมาเล่นบางอย่างที่เราสนใจ จนมาจับอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นอาชีพ นั่นคือการร้องเพลง
ผมอยู่วงดนตรีในตำแหน่งนักร้องตั้งแต่ตอนม.4เริ่มตั้งแต่ประกวดวงดนตรีของโรงเรียน ประกวดวงดนตรีประจำอำเภอ ประกวดดนตรีประจำจังหวัด จนเล่นดนตรีเพื่อเป็นอาชีพ จนกระทั่งผมอยู่ชั้นม.6 สมาชิกวงของผมก็ได้เรียนจบกันไปบ้าง บางคนก็เลิกเล่นดนตรีบ้าง จนทำให้ผมต้องทำการเพลาๆการเล่นดนตรีลงไปจนกระทั่งหยุดการเล่นดนตรีไประยะหนึ่ง ช่วงนั้นผมเหมือนคนเลื่อนลอย เป็นคนไม่มีแก่นสาร ไม่มีอะไรจะทำ จนกระทั่งวันนึงของชีวิตช่วงที่ว่างเปล่า มีกิจกรรมการเข้าค่ายลูกเสือผมคือหนึ่งในพี่เลี้ยงค่ายนี้ แล้วเนื่องจากผมตัวเล็ก ยกของใหญ่ๆก็ไม่ไหวไปนั่งทำโหดน้องก็ไม่กลัว ผมจึงไม่รู้กับชีวิตว่าผมมาทำอะไรที่ค่ายนี้ จนกระทั่งมีเสียงสวรรค์บัญชาลงมาว่า “ไอ้ปราช ไปถ่ายรูป” ผมก็กลายเป็นช่างภาพไปโดยปริยาย เริ่มจากถ่ายไม่เป็น ค่อยๆเรียนรู้ จนเริ่มคิดว่ามันเป็นอะไรที่ทำแล้วมีความสุขทำได้เรื่อยๆ มีความรู้สึกรุ้นว่าภาพที่ออกมาจะเป็นยังไง มันทำให้เริ่มศึกษาอย่างจริงจัง ถึงวิธีการถ่ายภาพ จนรู้สึกอีกครั้งว่า ผมใช้เวลาอยู่กับมันได้นานอยู่ได้ทั้งวันพอๆกับการเล่นดนตรี หลังจากนั้นมันก็คือเส้นทางสายที่สองที่ผมเลือกเดิน
"ถึงเวลาที่เราต้องเปลี่ยนสิ่งที่รักให้กลายเป็นเรื่องของเหตุและผล"
ปัจจุบัน ผมศึกษาอยู่ ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม สาขานิเทศศาสตร์
แขนงวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมผมจึงเลือกที่จะเดินทางต่อไปในถนนเส้นนี้ ทั้งๆที่ผมก็รักดนตรีไม่แพ้กันกับการถ่ายภาพ
ผมนำสิ่งที่ผมรักทั้งสองมาเปรียบเทียบกัน แล้วตีมันออกมาเป็นเหตุและผลง่ายๆ
อย่างแรกในยุคปัจจุบันถือว่าเป็นยุคที่ดนตรีเริ่มซบเซาแต่ตรงกันข้ามปัจจุบันสื่อมีอิทธิพลสูงต่อการใช้ชีวิตของมนุษย์ไม่ว่าจะภาพถ่ายหรือบทความก็ตาม
อย่างที่สอง ดนตรีเปลียบเป็นสิ่งหนึ่งในการสื่อสารมวลชน ซึ่งจะไม่เป็นการดีกว่าหรือถ้าเราได้สัมผัสกับการสื่อสารมวลชนทุกรูปแบบเพื่อจะได้นำไปปรับใช้กับการเล่นดนตรีได้ด้วย อย่างสุดท้าย ผมพอใจกับการเล่นดนตรีของผมตรงนี้ผมรู้สึกว่ามันพอแล้วกับการทำให้มีความสุขพูดง่ายๆคือผมเล่นดนตรีเป็นแล้วสามารถหารายได้จากการเล่นดนตรีได้แล้วแต่เรื่องของการถ่ายภาพมันยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่ผมยังไม่รู้ผมจึงเลือกที่จะเดินทางสายสื่อสารมวลชนพร้อมกับความรู้ในการถ่ายภาพอันน้อยนิดเพื่อที่จะแสวงหาความรู้เกี่ยวกับการถ่ายถาพให้มากที่สุด แต่สิ่งที่ผมได้จากการเรียนนิเทศศาสตร์ ณ ปัจจุบันนี้ มันได้มากกว่าการถ่ายภาพ ได้มากกว่าการถ่ายวิดีโอ ได้มากกว่าการผลิตสื่อ “ผมได้เรียนรู้การเป็นนักสื่อสารมวลชนที่ดี”
แปลว่า ฉันเป็นใคร ?
I am who
แปลว่า ฉันผู้ซึ่ง “………”
ฉัน...ผู้ซึ่งใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้มา 20 ปี 1เดือน กับอีก 5 วัน(นะเวลาที่เขียนคับ)
ฉัน...ผู้ซึ่งมีชีวิตอยู่ด้วยเสียงเพลง
ฉัน...ผู้ซึ่ง เลือกทางเดินชีวิตสายสื่อมวลชน
ต้นกำเหนิดของเรื่องราว
ชื่อของผมคือ ปราชญ์ นายศรีปราชญ์ ฉลาดดี บ้านเกิดอยู่ที่ อุทัยธานี พ่อเป็นคนนครศรีธรรมราช แม่เป็นคน อุทัยธานี ผมมีพี่น้องในครอบครัว 2 คนผมเป็นคนที่สอง ผมเติบโตขึ้นท่ามกลางความอบอุ่นของตาและยายที่มีให้ ในบ้านหลังเล็กๆที่ล้อมไปด้วยต้นไม้และทุ่งนา พ่อทิ้งพวกเราไปตั้งแต่ยังเล็กๆ ส่วนแม่ผมย้ายมาตั้งหลักปักฐานที่จังหวัดปทุมธานีตอนผมขึ้นป.6 พอดี ผมจึงอยู่กับตาและยายและก็พี่สาวมาตลอด ความจริงแม่ผมก็อยากให้ผมไปอยู่กับเขานะ แต่ที่ผมไม่ไปเพราะผมรู้สึกผูกพันธ์กับทุกสิ่งของที่นี่มากกว่าที่จะไปเริ่มต้นใช้ชีวิตที่เราไม่คุ้นเคยในเมืองที่เจริญ
“บางทีเราก็ไม่รู้หรอกนะว่าเรานั้นชอบอะไร แต่สำหรับผมถ้าผมใช้เวลาอยู่กับอะไรได้นานที่สุดนั่นแหละคือสิ่งที่ผมชอบ”...........
ผมเข้าเรียนมัธยมที่โรงเรียนประจำอำเภอ ซึ่งเป็นที่ๆผมใช้ชีวิตอยู่พร้อมกับคำถามที่ถามตัวเองว่า อนาคตผมจะเป็นอะไร ผมใช้เวลาคลุกคลีอยู่ที่นี่ 6 ปี นอกจากใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเรียนหนังสือแล้ว เวลาที่ว่างก็จะหาอะไรทำ อะไรที่ทำแล้วรู้สึกเป็นตัวของตัวเอง
ผมทำกิจกรรมหลายอย่างไม่ว่าจะเตะตะกร้อ เล่นวอลเลย์บอล แต่งกลอน วาดภาพและอีกมากมาย แต่ว่าไม่ว่าอะไรก็จะใช้เวลาอยู่กับมันได้ไม่นานซักเท่าไร จนผมเริ่มสงสัยตัวเองว่า “นี่เราชอบอะไรวะ”ทำอะไรก็ทำแค่ตามกระแส ไม่คิดจะชอบเป็นจริงเป็นจังสักอย่าง จนวันนึงผมได้เปิดประตูเข้าไปในห้องๆนั้นและเจอกับสิ่งต่างๆนาๆที่เราไม่เคยสนใจ “เฮ้ยไอ้เครื่องนี้มันมีไว้ทำอะไรเนี่ยะ” ผมถามเพื่อนผม “เค้าเรียกว่ากีตาร์ มันเอาไว้ดีดๆๆๆเด๋วมันก็เป็นเพลง” จากตรงนั้นมันทำให้ผมเริ่มเดินทางเข้าสู่เส้นทางสายแรกที่ใช้เวลาเดินทางบนถนนเส้นนี้นานที่สุด “เส้นทางสายดนตรี”
“บางทีสิ่งที่เรารักที่สุดมันอาจจะไม่ได้มีเพียงอย่างเดียว”
ผมใช้เวลาในการเล่นดนตรีมา 7 ปีแล้วเริ่มตั้งแต่หัดเล่นทุกอย่างที่เป็นดนตรี จนมาเล่นบางอย่างที่เราสนใจ จนมาจับอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นอาชีพ นั่นคือการร้องเพลง
ผมอยู่วงดนตรีในตำแหน่งนักร้องตั้งแต่ตอนม.4เริ่มตั้งแต่ประกวดวงดนตรีของโรงเรียน ประกวดวงดนตรีประจำอำเภอ ประกวดดนตรีประจำจังหวัด จนเล่นดนตรีเพื่อเป็นอาชีพ จนกระทั่งผมอยู่ชั้นม.6 สมาชิกวงของผมก็ได้เรียนจบกันไปบ้าง บางคนก็เลิกเล่นดนตรีบ้าง จนทำให้ผมต้องทำการเพลาๆการเล่นดนตรีลงไปจนกระทั่งหยุดการเล่นดนตรีไประยะหนึ่ง ช่วงนั้นผมเหมือนคนเลื่อนลอย เป็นคนไม่มีแก่นสาร ไม่มีอะไรจะทำ จนกระทั่งวันนึงของชีวิตช่วงที่ว่างเปล่า มีกิจกรรมการเข้าค่ายลูกเสือผมคือหนึ่งในพี่เลี้ยงค่ายนี้ แล้วเนื่องจากผมตัวเล็ก ยกของใหญ่ๆก็ไม่ไหวไปนั่งทำโหดน้องก็ไม่กลัว ผมจึงไม่รู้กับชีวิตว่าผมมาทำอะไรที่ค่ายนี้ จนกระทั่งมีเสียงสวรรค์บัญชาลงมาว่า “ไอ้ปราช ไปถ่ายรูป” ผมก็กลายเป็นช่างภาพไปโดยปริยาย เริ่มจากถ่ายไม่เป็น ค่อยๆเรียนรู้ จนเริ่มคิดว่ามันเป็นอะไรที่ทำแล้วมีความสุขทำได้เรื่อยๆ มีความรู้สึกรุ้นว่าภาพที่ออกมาจะเป็นยังไง มันทำให้เริ่มศึกษาอย่างจริงจัง ถึงวิธีการถ่ายภาพ จนรู้สึกอีกครั้งว่า ผมใช้เวลาอยู่กับมันได้นานอยู่ได้ทั้งวันพอๆกับการเล่นดนตรี หลังจากนั้นมันก็คือเส้นทางสายที่สองที่ผมเลือกเดิน
"ถึงเวลาที่เราต้องเปลี่ยนสิ่งที่รักให้กลายเป็นเรื่องของเหตุและผล"
ปัจจุบัน ผมศึกษาอยู่ ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม สาขานิเทศศาสตร์
แขนงวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมผมจึงเลือกที่จะเดินทางต่อไปในถนนเส้นนี้ ทั้งๆที่ผมก็รักดนตรีไม่แพ้กันกับการถ่ายภาพ
ผมนำสิ่งที่ผมรักทั้งสองมาเปรียบเทียบกัน แล้วตีมันออกมาเป็นเหตุและผลง่ายๆ
อย่างแรกในยุคปัจจุบันถือว่าเป็นยุคที่ดนตรีเริ่มซบเซาแต่ตรงกันข้ามปัจจุบันสื่อมีอิทธิพลสูงต่อการใช้ชีวิตของมนุษย์ไม่ว่าจะภาพถ่ายหรือบทความก็ตาม
อย่างที่สอง ดนตรีเปลียบเป็นสิ่งหนึ่งในการสื่อสารมวลชน ซึ่งจะไม่เป็นการดีกว่าหรือถ้าเราได้สัมผัสกับการสื่อสารมวลชนทุกรูปแบบเพื่อจะได้นำไปปรับใช้กับการเล่นดนตรีได้ด้วย อย่างสุดท้าย ผมพอใจกับการเล่นดนตรีของผมตรงนี้ผมรู้สึกว่ามันพอแล้วกับการทำให้มีความสุขพูดง่ายๆคือผมเล่นดนตรีเป็นแล้วสามารถหารายได้จากการเล่นดนตรีได้แล้วแต่เรื่องของการถ่ายภาพมันยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่ผมยังไม่รู้ผมจึงเลือกที่จะเดินทางสายสื่อสารมวลชนพร้อมกับความรู้ในการถ่ายภาพอันน้อยนิดเพื่อที่จะแสวงหาความรู้เกี่ยวกับการถ่ายถาพให้มากที่สุด แต่สิ่งที่ผมได้จากการเรียนนิเทศศาสตร์ ณ ปัจจุบันนี้ มันได้มากกว่าการถ่ายภาพ ได้มากกว่าการถ่ายวิดีโอ ได้มากกว่าการผลิตสื่อ “ผมได้เรียนรู้การเป็นนักสื่อสารมวลชนที่ดี”
แก้ไขล่าสุดโดย pratcrazy เมื่อ Thu Aug 12, 2010 8:28 pm, ทั้งหมด 1 ครั้ง